Mon Oct 27
เปิดรายละเอียดคำแถลง ‘วรภัค’ ลาออก รมช.คลัง เผยรู้จัก ‘เบน สมิธ’ เพราะลูกเรียนที่เดียวกัน
2025-10-23
HaiPress
วรภัค ธันยาวงษ์ รมช.คลัง แถลงลาออก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันความบริสุทธิ์ ไม่เกี่ยวข้อง พัวพันกับแก๊งหลอกลวงต้มตุ๋น ฟอกเงินและธุรกิจผิดกฎหมาย ประเทศกัมพูชา
เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 2568 กระทรวงการคลัง นายวรภัคธันยาวงษ์ รมช.คลัง แถลงชี้แจงข้อเท็จจริงจากข่าวบิดเบือนข้อเท็จจริงใส่ร้ายป้ายสี ว่าพัวพันกับแก๊งหลอกลวงต้มตุ๋นฟอกเงินและธุรกิจผิดกฎหมายประเทศกัมพูชา โดยระบุว่า จากข่าวบิดเบือนใส่ร้ายป้ายสีตน พัวพันกับแก๊งหลอกลวงต้มตุ๋น ฟอกเงินและธุรกิจผิดกฎหมายกัมพูชา ไม่เป็นความจริง
รวมถึงการพาดพิงถึงภรรยาว่ามีการรับคริปโตฯ มูลค่า 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็ไม่จริงเช่นกัน เพราะภรรยาของตนไม่เคยมีบัญชีคริปโตฯ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน และไม่เคยรับผลประโยชน์ใดๆ จากเรื่องนี้ ที่สำคัญทางภรรยา ปกติก็ไม่ได้อยากให้ตนมาทำเรื่องการเมืองอยู่แล้ว จึงคิดว่าการลาออก มีความเหมาะสมที่สุด
“เรื่องลาออก ผมเพิ่งคิดได้ไม่นาน แต่ได้มีการเกริ่นไปยังนายกรัฐมนตรีบ้างแล้ว และแจ้งให้นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง โดยจะยื่นหนังสือลาออกในวันนี้ และยืนยันว่าไม่ได้ถูกกดดันจากรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรี เป็นการตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่เพื่อต้องการให้การตรวจสอบมีอิสระ และหากอยู่อาจกระทบการทำงานของรัฐบาลที่จำกัดด้วย อีกทั้งที่ผ่านมาผมไม่มีความทะเยอทะยานในตำแหน่งทางการเมือง แต่ที่เข้ามาเพราะอยากเข้ามาใช้ความรู้ช่วยเหลือประเทศชาติ จริงๆ”
นายวรภัคกล่าวว่า หลังจากยื่นหนังสือลาออกแล้ว ตนจะได้มีโอกาสรวบรวมข้อมูลเท็จจริงไว้ต่อสู้ และจะมีการดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้ที่บิดเบือน และเผยแพร่ข้อมูลเท็จทำให้ตนเสียชื่อเสียง โดยเฉพาะนายทอมไลฟ์ จะถูกฟ้องเป็นคนแรก รวมถึงคนที่นำข้อมูลเท็จมาเผยแพร่ด้วย
อย่างไรก็ตาม ตนและภรรยายอมรับว่ามีความรู้จักมิสเตอร์ นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ และครอบครัว เนื่องจากลูกเรียนโรงเรียนเดียวห้องเดียวกัน ทำให้มีความรู้จักกันในฐานะผู้ปกครอง แต่ไม่เคยมีธุรกรรมร่วมกัน ส่วนกรณีนายเลียก ยิม ยอมรับว่าที่ผ่านมาเคยพูดคุยให้คำปรึกษาเกี่ยวกับธุรกิจธนาคาร ซึ่งปกติตนก็ให้คำปรึกษาเรื่องนี้กับหลายธนาคารอยู่แล้ว และยืนยันว่าไม่ได้มีการรับตำแหน่ง หรือเงินเดือนจาก บีไอซี แบงก์ กัมพูชา ส่วนกรณีที่จะมีการเปิดหลักฐานเกี่ยวกับการรับเงินอะไรต่างๆ นั้น ผมขอท้าให้เปิดข้อมูล เอาหลักฐานมายืนยัน และตนพร้อมชี้แจงอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ นายวรภัค ชี้แจงรายละเอียดว่า กระผมขอเรียนการชี้แจงดังนี้
1.ประวัติและภูมิหลังการทำงาน
กระผมนายวรภัคธันยาวงษ์มีประสบการณ์ในแวดวงการเงินและธนาคารมากกว่า30ปี เป็นหนึ่งในคนไทยที่ได้รับโอกาสและความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งระดับสูงในสถาบันการเงินชั้นนำทั้งในและต่างประเทศได้แก่อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่Bank of America (ประเทศไทย)อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ J.P. Morgan Chase (ประเทศไทย)อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทยจำกัด(มหาชน) (จนถึงปี2559) ต่อมาภายหลังจากเกษียณจากงานประจำตอนอายุ52ปีกระผมได้อุทิศตนทำงานด้านองค์ความรู้เขียนบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเงินการธนาคารมาอย่างต่อเนื่องหลายปีและได้รับเชิญเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก
ในปีพ.ศ. 2567กระผมได้รับเกียรติแต่งตั้งเป็นประธานคณะที่ปรึกษาของท่านรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง(นายพิชัยชุณหวชิร)และต่อมาในปีพ.ศ. 2568กระผมได้รับเกียรติให้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลปัจจุบันเพื่อทำงานรับใช้ประเทศชาติ
โดยที่กระผมไม่เคยมีความทะเยอทะยานทางการเมืองแต่อย่างใดมีเพียงความมุ่งมั่นในการใช้ความรู้ความสามารถให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติโดยรวมเป็นสำคัญเท่าที่จะทำได้
2.ข้อเท็จจริงกรณีการพาดพิงผมกับ“Cambodian scammers”การฟอกเงินและธุรกิจผิดกฎหมาย
เมื่อเร็วๆนี้ได้มีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเผยแพร่ข่าวใส่ร้ายป้ายสีบิดเบือนข้อเท็จจริงที่พยายามเชื่อมโยงชื่อของกระผมกับเครือข่ายที่ถูกระบุว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการCambodian scammersในการนี้กระผมขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้
2.1)ข้อกล่าวหาเรื่องความเกี่ยวข้องกับขบวนการหลอกลวงต้มตุ๋นหรือที่เรียกว่า scammers ในประเทศกัมพูชานั้นกระผมไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับกระบวนการหลอกลวงต้มตุ๋นหรือธุรกิจผิดกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้นไม่ว่าจะในประเทศกัมพูชาหรือประเทศอื่นใดทั้งสิ้นสำหรับกรณีที่มีความพยายามเชื่อมโยงBIC Groupและ BIC Bank Cambodiaให้เกี่ยวข้องกับกระบวนการหลอกลวงต้มตุ๋นซึ่งข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรนั้นกระผมไม่อาจทราบได้และคงต้องให้กระบวนการยุติธรรมเข้ามาตรวจสอบหาข้อเท็จจริงทั้งนี้กระผมไม่สนับสนุนธุรกรรมผิดกฎหมายและจะไม่ปกป้องผู้ที่ทำผิดกฎหมายใดๆทั้งสิ้นไม่ว่าจะทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
โดยส่วนตัวที่เคยพบกับผู้บริหารของBIC Bankที่เป็นประธานกรรมการของธนาคารนี้ ชื่อMr. Leak Yimแต่กระผมไม่เคยเป็นกรรมการกรรมการบริหารหรือที่ปรึกษาใดๆของBIC Bank Cambodia และไม่เคยรับเงินหรือผลตอบแทนใดๆซึ่งการที่มีการนำรูปของกระผมและชื่อไปลงเป็นที่ปรึกษาของกลุ่มธนาคารนั้น กระผมไม่เคยรับทราบมาก่อน ส่วนMr. Benjamin Mauerbergerนั้นกระผมได้รู้จักกับMr. Benjaminเนื่องจากลูกของกระผมเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันในประเทศไทยแต่กระผมก็ไม่เคยทราบลึกๆว่าMr. Benjaminประกอบธุรกิจอะไรอย่างไร หรือมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจอย่างไรกับMr. Leak YimเพราะกระผมกับMr. Benjaminเป็นผู้ปกครองนักเรียนวัยเดียวกันชั้นเดียวกันโรงเรียนเดียวกันเท่านั้น
2.2)ข้อกล่าวหาเรื่องการเป็นตัวแทน(Nominee)เชื่อมโยงกับบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซียไซรัส (Finansia Syrus : FSS)ผ่านPilgrim Finansa ในปีพ.ศ. 2564กระผมได้เข้าซื้อหุ้น29%ของบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซียไซรัส (FSS) ซึ่งเป็นธุรกรรมที่ถูกต้องตามกฎหมายและกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ทุกประการซึ่งเป็นการซื้อกิจการในลักษณะที่เรียกว่า management buy out
อีกนัยหนึ่งก็คือผู้บริหารที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการบริหารกิจการของบริษัทนั้นๆ(คือกระผมและคุณช่วงชัย) เห็นโอกาสในการซื้อหุ้นราคาเหมาะสมเพื่อมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้บริษัทเติบโตและมีกำไรสูงขึ้นเพื่อราคาหุ้นที่ดีขึ้นในอนาคตและมีผู้สนับสนุนทางการเงินอาทิธนาคารหรือกองทุนที่มองเห็นว่าหุ้นที่ซื้อมาราคาไม่แพงและมีโอกาสเติบโตได้ในอนาคต คุ้มกับความเสี่ยงในการสนับสนุนทางการเงินซึ่งธุรกรรมการกู้เงินมาซื้อหุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์นี้ เป็นเรื่องปกติถ้าธนาคารหรือผู้กู้เข้าใจมูลค่าหุ้นที่นำมาเป็นหลักประกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้น29%ที่กระผมและคุณช่วงชัยซื้อมาถือว่าเป็นcontrolling stakeของบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซียที่มีส่วนแบ่งทางการตลาด(Market share)ขณะนั้นเป็นอันดับสองของประเทศไทยรวมทั้งบริษัทหลักทรัพย์ฟินันซ่าที่เป็นวานิชธนกิจ อันดับต้นๆ ของประเทศไทย มาอย่างยาวนาน
กระผมและคุณช่วงชัย(CEO)ซื้อหุ้นผ่านบริษัทPilgrim Finansa (ถือหุ้นร่วมกันในสัดส่วน60 : 40)และทำMandatory Tender Offerตามกฎหมายในการซื้อหุ้นในครั้งนั้นกระผมได้รับวงเงินสนับสนุนสองส่วนคือส่วนที่ซื้อหุ้นและส่วนที่ต้องเตรียมทำคำเสนอซื้อหุ้น(tender offer)ซึ่งส่วนแรกเป็นเงินกู้จากกองทุนในสิงคโปร์ชื่อCapital Asia Investment (CAI)เป็นบริษัทจัดการกองทุนภายใต้การกำกับดูแลของMASซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลสิงคโปร์ และส่วนที่สองจากBIC Bank Lao (ซึ่งเป็นธนาคารที่ถือหุ้น70%โดยกลุ่มธุรกิจชาวลาวชื่อ“Asia Investment and Financial Services Sole Co.,Ltd.”และอีก30%โดยบริษัทการไฟฟ้าลาว)เพื่อเตรียมการเสนอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายอื่นทั้งนี้วงเงินจากBIC Laosเป็นstandby facilityเพื่อทำtenderแต่เนื่องจากไม่มีผู้มาขายในtenderจึงไม่มีการใช้วงเงินนี้
BIC Bank LaoและBIC Bank Cambodiaมีความเกี่ยวพันมาอย่างไรจากในอดีต ถึงใช้ชื่อคล้ายกันนั้น กระผมไม่ทราบกระผมทราบแต่เพียงว่าในปัจจุบันนั้นความเป็นเจ้าของและการบริหารจัดการนั้นแยกกันเด็ดขาดBIC Bank Laoดำเนินกิจการมานานแล้ว เป็นธุรกิจธนาคารที่ค่อนข้างอยู่ตัวแล้ว ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจชาวลาวและบริษัทการไฟฟ้าลาวและเท่าที่หาข้อมูลได้BIC Bank Cambodia ที่อยู่ในประเทศกัมพูชานั้นถือหุ้นใหญ่โดยบริษัทApsara Holdings 99%และMr. Yim Leak 1%
หลังจากกระผมและคุณช่วงชัยเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ในปีพ.ศ. 2564กระผมและคุณช่วงชัย ได้ดำเนินการปรับโครงสร้างบริษัทโดยจ้างMcKinsey & Co.เป็นที่ปรึกษา เพื่อทำDigital Transformationพัฒนาให้เป็นองค์กรดิจิตัลแต่การปรับปรุงองค์กรไม่เร็วอย่างที่กระผมคาด จนเมื่อปลายปีพ.ศ. 2567กระผมได้ตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดให้กับคุณช่วงชัยหุ้นส่วนเดิมของกระผมและลาออกจากตำแหน่งกรรมการทุกตำแหน่งในบริษัทหลังจากนั้นกระผมไม่เคยมีความเกี่ยวข้องใดๆในการถือหุ้นหรือในการบริหารบริษัทFinansiaอีก
ส่วนคุณช่วงชัยขายหุ้นให้ใครหรือมีการเพิ่มทุนอีกหรือไม่ ผมเองก็ไม่ได้ติดตามข่าว ซึ่งการที่บุคคลใดจะนำชื่อของผมในอดีตไปเชื่อมโยงกับบุคคลหรือเครือข่ายใดในภายหลังดังนั้นการคาดเดากล่าวอ้างหรือกล่าวเท็จเรื่องในความคิดตัวเองว่ากระผมเป็นNomineeหรือเป็นฟันเฟืองสำคัญของกระบวนการ scammerถือเป็นการใส่ร้ายป้ายสีและบิดเบือนข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ขบวนการใส่ร้ายป้ายสีกระผมล่าสุดยังได้เหิมเกริมใส่ร้ายด้วยข้อมูลเท็จกับภรรยาของกระผมว่าได้รับผลประโยชน์เป็นเงินคริปโตจำนวนหลายล้านเหรียญซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด กระผมขอยืนยันว่าภรรยาของกระผมไม่เคยมีบัญชีคริปโตใดๆทั้งสิ้นทั้งในอดีตและปัจจุบันและไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้เลย
3.จุดยืนส่วนตัวและทางการเมือง
กระผมปฏิเสธข้อกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีทั้งหมดอย่างชัดเจนว่าไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีผลประโยชน์ร่วมกับกลุ่มบุคคลหรือขบวนการที่เกี่ยวข้องกับCambodian scammersหรือกระบวนการต้มตุ๋น หลอกลวงธุรกิจผิดกฎหมายใดๆทั้งสิ้น กระผมมีประวัติการทำงานและจรรยาบรรณที่โปร่งใสตรวจสอบได้มาตลอด30ปี ในแวดวงการเงินระดับสากลทั้งในองค์กรต่างชาติและองค์กรของรัฐขนาดใหญ่ของไทยและปัจจุบันทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตข้าราชการกระทรวงการคลัง ที่มีโอกาสทำงานใกล้ชิดกับผมมากกว่าหนึ่งปีก่อนหน้านี้รวมทั้งในปัจจุบันจะสามารถยืนยันได้ว่าผมทำงานอย่างไร
4.การดำเนินการต่อ
4.1 กระผมขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่บิดเบือนและเผยแพร่ข้อมูลเท็จที่ทำให้ผมเสียชื่อเสียง
4.2กระผมเชื่อมั่นในหลักนิติธรรมและจะยืนหยัดในความจริงเพื่อปกป้องชื่อเสียงส่วนบุคคลและเกียรติของตำแหน่งทางการเมืองที่ได้รับมอบหมาย
5.คำยืนยัน
“กระผมไม่เคยและจะไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทุจริตฉ้อโกงหรือเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติใดๆชีวิตการทำงานกว่า30ปีของผม อยู่บนหลักความสุจริตโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสังคม”


