สัมพันธ์ไทย-จีน 50 ปี แนบแน่นยุคทองการลงทุน ค่ายรถอีวีพร้อมใจเข้ามาลงทุน-ทำตลาดในไทย

ในโอกาสครบรอบ 50 ปี สัมพันธ์ไทย-จีน หนึ่งในนักธุรกิจจากจีนที่เข้ามาในประไทยกว่า 10 ปี “อเล็กซ์ เป่า” กรรมการผู้จัดการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซีเคอร์ ผู้นำเข้าและ จำหน่ายรถยนต์ซีเคอร์ (Zeekr) ได้เล่าความถึงความสัมพันธ์กับประเทศไทย ว่าส่วนตัวนั้นมีเชื้อสายไทย เพราะคุณพ่อเป็นคนสิบสองปันนา คุณแม่เป็นคนไทลื้อ ในแผนที่ถือว่าเป็นชาวไทยในมณฑลยูนาน ตอนเด็กๆ มีญาติๆ เดินทางมาทำธุรกิจ ที่เชียงใหม่ เชียงรายเป็นประจำ เติบโตก็ได้เข้าไปศึกษาเล่าเรียนจนจบ ณ นครเซียงไฮ้

จุดเริ่มต้นธุรกิจในไทย

ในเวลาต่อมามีโครงการร่วมทุนระหว่าง SAIC Motor กับเครือซีพี ทางบริษัทแม่ที่ประเทศจีนจึงได้ส่งมาประจำการที่ประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2013 ดังนั้นส่วนตัวแล้วจึงมีความคุ้นเคยกับประเทศไทยเป็นอย่างดี โอกาสความสัมพันธ์ไทย-จีนครบรอบ 50 ปี ในปีนี้ถือว่าเป็นปีที่สำคัญมากระหว่างประเทศไทย และประเทศจีนเป็นสายสัมพันธ์ระหว่างประเทศเราพูดถึงกันตลอดว่าไทย-จีนพี่น้องกัน ตั้งแต่พันปีที่แล้ว หากมองเรื่องการการค้า การลงทุนในอดีต สมัยก่อนกว่า10 ปีที่ผ่านมา ข้อมูลสมาคมการค้าวิสาหกิจจีน-ไทย นักลงทุน บริษัทจีนที่เข้ามาในประเทศไทยมีไม่ถึง 100 ราย แต่ปัจจุบันนี้ได้เพิ่มมากขึ้นมีกว่า 500-600 ราย ถือว่าเยอะมากหากไล่ลำดับรวมฮ่องกง จีนรวมกันแล้ว มูลค่าการลงทุนน่าจะมากที่สุดในประเทศไทย หากดูจากสถิติของปี 2567 แล้วถือว่า Blooming หรือยุคทอง ของการลงทุนจากจีนเข้ามาในไทย

เข้าสู่เทรนด์ยานยนต์ไฟฟ้า

สำหรับกระแสของยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี มีมาตั้งแต่2013 โอกาสของรถอีวีที่เข้ามาในประเทศไทย เริ่มเห็นได้ตั้งแต่ปี 2019 เป็นโครงการของภาครัฐ ทีเริ่มยกเว้นภาษีอากร ถือว่าเป็นการเริ่มต้นทำให้รถอีวีที่มาจากจีนเข้าสามารถเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยมากขึ้น จากนั้นนโยบายการส่งเสริมรถไฟฟ้ามีมากขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ อีวี 1.0,2.0,3.0,3.5 และกำลังจะพัฒนาถึงอีวี 4.0 ‘นโยบายของภาครัฐ’ ที่ส่งเสริมรถยนต์อีวี อันนี้ถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญอย่างยิ่ง

นอกเหนือจากนโยบายของภาครัฐที่ดึงดูดให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยแล้วนั้น ปัจจัยสำคัญไม่แพ้กัน คือ ผู้บริโภคชาวไทย ที่ปัจจุบันนี้ยอมรับสิ่งของใหม่ๆโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มาจากประเทศจีนได้ง่ายขึ้น จากที่ เคยปฎิเสธ ไม่ชอบ ไม่รับ ปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว เพียงแต่ผลิตภัณฑ์นั้นได้ให้ความคุ้มค่า มีนวัตกรรม เทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจเลือก และยังรวมไปถึง คู่ค้า ผู้แทนจำหน่ายในไทย มีหลายทางเลือกทุกคนยอมรับได้ ทำให้รถอีวีของจีนสามารถเข้าถึงได้ง่าย

‘ไทย’ ทำเลทองค่ายอีวีจีน

สถานการณ์รถอีวีจีนในประเทศไทยนั้น ปัจจุบันมีค่ายรถยนต์อีวีจากจีนเข้ามาลงทุนประเทศไทยจำนวนมาก หรืออาจจะเยอะเกินไปด้วย จึงทำให้เกิดสงครามในส่วนของการทำสงครามราคา มีผลดีต่อลูกค้าผู้บริโภคแน่นอนลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นราคาเริ่มต้นของรถอีวีขนาดเล็ก หรือคอมแพ็ค เอสยูวี เพียง 400,000 บาท หากเปรียบเทียบกับ อีโคคาร์ รถสันดาป เริ่มต้นที่ 500,000- 700,000 บาท แต่ก็มีปัจจัยลบจะกระทบสถาบันการเงินในการพิจาณาปล่อยสินเชื่อ และราคาขายต่อรถมือสองตอนนี้ราคาตกอย่างรุนแรงเช่นกัน ดังนั้นในส่วนของค่ายรถยนต์จีนก็จะได้มีการหารือร่วมกันในประเด็น “สงครามราคา” ในอนาคตต่อไป

อีกประการหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคยังไม่มีความเชื่อมั่นเพียงพอ คือ ในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน สถานีชาร์จ ที่ยังมีไม่พอเพียงทำให้ลูกค้าบางส่วนกังวลถ้าไม่เลือกซื้อรถอีวี ในส่วนนี้ ทางคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ได้ มีนโยบายส่งเสริมให้ผู้ที่ลงทุนสร้างสถานีชาร์จจะได้ยกเว้นภาษี และมีสิทธิพิเศษมากมาย อีกทั้งผู้ผลิตรถยนต์หลายค่ายก็พร้อมที่จะลงทุนเองเพื่อทำการสร้างสถานีชาร์จให้กับลูกค้า เพราะเป็นสิทธิพิเศษ อีกทั้งยังเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าของตน

การันตีใช้รถอีวีคุ้มค่า

โดยแล้วรวมรถอีวี คุ้มค่ามากราคาน้ำมันได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รถยนต์อีวี ใช้ไฟฟ้าซึ่งเป็นพลังงานสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งตรงนี้เป็นทางเลือกที่ดีต่อสังคมและต่อประเทศ อาจจะมีหลายอย่างที่ลูกค้าเกิดความกังวล โดยเฉพาะความปลอดภัยของแบตเตอรี่ จริงๆ แล้วรถอีวีมีขายในประเทศไทยหลายปีแล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้มากกว่ารถสันดาป ปัญหาที่ผ่านมาทั้งน้ำท่วม ไฟไหม้หลายๆ เหตุการณ์ ผมยังกล้าบอกว่ารถอีวี มีความปลอดภัยมากกว่ารถสันดาป ที่เป็นห่วงอีก คือ ถ้าเราขับ 7 ปี 10 ปีแบตเตอรี่จะเป็นอย่างไร ปัจจุบันนี้ได้พัฒนาไปมากแล้วมีนักธุรกิจที่ลงทุนในไทยที่จะทำแบตเตอรี่รีไซเคิล ดังนั้นไม่ต้องกังวลจีนเป็นผู้นำรถไฟฟ้าได้ เพราะตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี จีนไม่เคยลังเลใจ และมีหลักการที่มุ่งมั่น สู่ถนนรถอีวี มีการลงทุน ด้านวิจัย และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้านบุคลากรแมนพาวเวอร์ ซัพพลายเชน การผลิตบุคลากรตอนนี้ยังไม่มีใครสู้ได้

‘ซีเคอร์’ แบรนด์ระดับสากล

รถยนต์ “ซีเคอร์”เราเป็นอีกค่ายหนึ่งที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย เป็นแบรนด์ ภายใต้ จีลี่ กรุ๊ป สำหรับจุดเด่น คือ ซีเคอร์ เป็น global brand เรามีทรัพยากรกระจายทั่วโลก เช่น ดีไซน์เซ็นเตอร์ อยู่ในยุโรป ที่ได้รวมดีไซเนอร์ที่มากกว่า 40 สัญชาติมาอยู่ด้วยกัน ทำให้แนวคิด และสไตล์ของการดีไซน์เป็นโกลบอล ในส่วนของแบตเตอรี่ สมาร์ทฟังก์ชัน บางส่วนใช้ของจีน ความปลอดภัยฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์เอาของดีจากทุกๆแห่งมารวมกัน เราไม่ได้เป็นจีน 100% เป็นทางเลือกที่ดีให้แก่ลูกค้า

สำหรับ ซีเคอร์ แล้ว เราเป็น รถอเนกประสงค์ ระดับหรู ทั้ง Luxury MPV และ Luxury SUV ไม่ได้สู้กับเจ้าใหญ่ หรือเจ้าตลาดจะเน้นความเป็นรถพรีเมี่ยม ลูกค้าจะได้รับความพึงพอใจทั้งเรื่องของผลิตภัณฑ์ บริการหลังการขาย เน็ตเวิร์ค อีโคซิสเต็ม ทุกสิ่งทำให้เกิดความสะดวกสบายและไม่เจอปัญหา ในอนาคตเราจะร่วมหลายๆค่ายที่อยู่ภายใต้ จีลี่ กรุ๊ป ใช้ซัพพลายและใช้ไทยเป็นฐานการผลิต เพื่อส่งออกไปหลายประเทศในอาเซียน ผมเคยทำงานที่หลายประเทศไม่ว่าจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือประเทศ ที่กำลังพัฒนา รวมทั้งประเทศที่อยู่ในยุโรปประเทสในอาเซียน สุดท้ายอยากกลับมาที่ไทยโดยรวมไม่ว่าจะเป็นนโยบายหรือการเปิดกว้างของผู้บริโภคชาวไทยรวมถึงการพัฒนาในหลายๆอย่างรวมถึงบรรยากาศก็ชอบประเทศไทยมากที่สุด

ประเทศไทยมีครบพร้อมทุกอย่าง

ถ้าพูดถึงตลาดเมืองไทยเสน่ห์ของประเทศไทย มีหลายอย่างสำหรับคนจีน ทั้งวัฒนธรรม อาหารการกิน ที่คล้ายคลึงกัน ในมุมของการเข้ามาลงทุน หรือทำธุรกิจ ในประเทศไทยมีครบพร้อมทุกอย่าง โดยเฉพาะหน่วยงาของภาครัฐที่พร้อมให้การส่งเสริม คือ บีโอไอ ทุกอย่างเป็น one stop service มีนโยบายที่ชัดเจน แต่ละหน่วยงานของภาครัฐยินดีที่จะช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาในไทย ขณะเดียวกันประเทศไทยมีข้อตกลงทางการค้า FTA กับหลายๆ ประเทศ หากเราสร้างประเทศไทยเป็นแหล่งผลิต และส่งออกในหลายประเทศ ทั้งภูมิภาคอาเซียน ตะวันออกกลาง ยุโรป ก็จะได้รับประโยชน์ส่วนนี้ด้วย และปัจจุบันในยุคที่เกิดสงครามการค้าในเรื่องกำแพงภาษี นักธุรกิจจีนที่ต้องเผชิญอุปสรรคในเรื่องของการส่งออกไปยุโรปอเมริกาทำให้ในสมัยของ ประธานาธิบดี ทรัมป์ นี้ทำได้ยากขึ้น ดังนั้นประเทศไทยเป็นอีกทางหนึ่งที่จะทำให้เราสามารถอยู่ในเวทีการค้าได้.