Wed Dec 25
กรุงไทย ควงกัลฟ์-เอไอเอส ลุยธนาคารไร้สาขา ยื่นขอใบอนุญาตแบงก์ชาติ
2024-08-14 HaiPress
กรุงไทย ควงกัลฟ์-เอไอเอส ลุยธนาคารไร้สาขา ยื่นขอแบงก์ชาติทันก่อน 19 ก.ย.นี้ หวังเพิ่มการเข้าถึงการเงินประชาชนและแก้เศรษฐกิจนอกระบบ
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทยอยู่ระหว่างจัดเตรียมยื่นขอธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดตั้งธนาคารไร้สาขา หรือเวอร์ชวลแบงก์ ร่วมกับพันธมิตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างปรับปรุง และแก้ไขข้อมูล คาดว่าจะสามารถยื่นได้ทันตามกำหนดภายในวันที่ 19 ก.ย. 67 โดยพันธมิตรของธนาคารจะมีการหารือในหลายมิติ ตั้งแต่เรื่องของพลังงาน เรื่องของดาต้าเซ็นเตอร์ เรื่องของข้อมูลทางเลือก และเรื่องของระบบนิเวศที่มาเสริมซึ่งกันและกัน
“โจทย์ของเวอร์ชวลแบงก์ คือ การช่วยให้กลุ่มคนที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้รับเงินทุนที่เหมาะสม ในขณะที่ก็ต้องมีวิธีติดตามหนี้ให้ได้ ในสถานการณ์ที่หนี้ครัวเรือนเริ่มสูง ต้องคิดให้ครบ ให้รอบด้าน ไม่ใช่วาทกรรมที่พูดกันแล้วตื่นเต้นเร้าใจ เพราะไม่ได้บอกว่าให้มาแข่งขันกับคนเดิม แต่เข้ามาตอบโจทย์ผู้ที่เข้าไม่ถึงสถาบันการเงิน เพราะฉะนั้นภาพนี้ต้องตีให้ออก”
ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทย จะร่วมกับพันธมิตรหลายราย เพื่อขอยื่นจัดตั้งเวอร์ชวลแบงก์ให้ทันตามกำหนดของ ธปท. คือ ภายในวันที่ 19 ก.ย. 67 โดยพันธมิตรที่เปิดเผยชื่อออกมาแล้วคือ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ และบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูล พฤติกรรมลูกค้า มาเพิ่มการเข้าถึงแหล่งเงินของประชาชน และเป็นการแก้เศรษฐกิจนอกระบบได้อีกทางหนึ่งด้วย
นายผยง กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังนี้เศรษฐกิจจะเร่งตัวขึ้น ทั้งจากภาคการท่องเที่ยว และการเบิกจ่ายงบประมาณ ส่งผลให้ธนาคารคงเป้าหมายทางการเงินในปีนี้ โดยการเติบโตของสินเชื่อคาดที่ 3% จากครึ่งปีแรกจะหดตัว 0.6% ซึ่งจะเติบโตมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมาจากการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ สินเชื่อรัฐบาล และรัฐวิสาหกิจ
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย คาดสิ้นปีนี้ที่ 3.0-3.3% และอัตราการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียม 1-5% โดยรายได้ค่าธรรมเนียมจะเติบโต และเน้นกลุ่มลูกค้าเวลธ์ เป็นหลัก ประกอบกับได้เพิ่มสินค้าใหม่ในแอปเป๋าตัง ซึ่งทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น
สำหรับอัตราส่วนการตั้งสำรองต่อหนี้เอ็นพีแอลไม่เกิน 180% ในปีนี้ จากไตรมาส 2 ปี 67 ที่อยู่ 181% จากในอดีตอยู่ที่ 98% ซึ่งมองว่าเป็นระดับที่คิดว่าแข็งแรง และเป็นระดับที่เหมาะสม ขณะที่หนี้ที่มิก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ธนาคารประเมินว่า ในครึ่งปีหลังจะเพิ่มขึ้น แต่ไม่เกิน 3.25% ในสิ้นปีนี้ จากไตรมาส 2 ปี 67 อยู่ที่ 3.1%