Wed Dec 25
เปิด 5 ประเทศขอบีโอไอ ส่งเสริมลงทุนสูงสุด เผยยอดครึ่งปีแรก 4.58 แสนล้าน
2024-07-25 HaiPress
บีโอไอ เผยยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุน 6 เดือนแรก ปี 2567 ยังเติบโตต่อเนื่อง ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีคำขอรับการส่งเสริม 1,412 โครงการ เงินลงทุน 458,359 ล้านบาท
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนในไทยมีแนวโน้มที่ดีและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-มิถุนายน 2567) การส่งเสริมการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นในทุกขั้นตอน ทั้งการขอรับการส่งเสริม การอนุมัติให้การส่งเสริม การออกบัตรส่งเสริม และเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 มีจำนวน 1,412 โครงการ เพิ่มขึ้น 64% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม 458,359 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% สะท้อนถึงศักยภาพและพื้นฐานที่ดีของประเทศไทย ความเชื่อมั่น ของนักลงทุนที่มีต่อนโยบายรัฐบาล รวมทั้งผลจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอและหน่วยงานภาครัฐ
ทัังนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้ามูลค่า 139,725 ล้านบาท 2. ยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า 39,883 ล้านบาท 3.เกษตรและแปรรูปอาหารมูลค่า 33,121 ล้านบาท 4.ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ มูลค่า 25,344 ล้านบาท และ 5.ดิจิทัล มูลค่า 25,112 ล้านบาท
โดยมีการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีความสำคัญต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น
– กิจการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ได้แก่ การผลิต Wafer, การออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์,การประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์และวงจรรวม 10 โครงการ เงินลงทุนรวม 19,543 ล้านบาท
–กิจการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์(Printed Circuit Board: PCB) 31โครงการเงินลงทุนรวม39,732ล้านบาท
–กิจการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ8โครงการเงินลงทุนรวม38,182ล้านบาท
–กิจการData Center 3โครงการเงินลงทุนรวม24,289ล้านบาท
–กิจการผลิตเครื่องจักรอุปกรณ์หรือระบบAutomation 69โครงการเงินลงทุนรวม10,271ล้านบาท
–กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนหรือขยะ255โครงการเงินลงทุนรวม72,475ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีบางกิจการที่เงินลงทุนไม่สูงแต่ส่งผลอย่างมากต่อการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเพราะเป็นกิจการฐานความรู้และเป็นกิจการสนับสนุนการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศเช่น
–กิจการพัฒนาซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัลหรือดิจิทัลคอนเทนต์59โครงการเงินลงทุนรวม812ล้านบาท
–กิจการสนับสนุนการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้แก่การวิจัยและพัฒนาการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพการออกแบบทางวิศวกรรมบริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์และบริการสอบเทียบมาตรฐาน13โครงการเงินลงทุนรวม805ล้านบาท
– กิจการ Smart Farming 3 โครงการ เงินลงทุนรวม 56 ล้านบาท
–กิจการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย11โครงการเงินลงทุน2,327ล้านบาท
–กิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ(IBC) 19โครงการเงินลงทุนรวม274ล้านบาท
–กิจการศูนย์จัดหาจัดซื้อวัตถุดิบและชิ้นส่วนระหว่างประเทศ(IPO) 16โครงการเงินลงทุนรวม728ล้านบาท
สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ(FDI)ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องมีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน889โครงการเพิ่มขึ้น 83% เงินลงทุนรวม325,736ล้านบาทเพิ่มขึ้น 16%
โดยประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงสุด5อันดับแรกได้แก่
1. สิงคโปร์ 90,996 ล้านบาท
2. จีน 72,873 ล้านบาท
3. ฮ่องกง 39,553 ล้านบาท
4. ญี่ปุ่น 29,987 ล้านบาท
5. ไต้หวัน29,453ล้านบาท
ทั้งนี้มูลค่าการลงทุนของสิงคโปร์ที่สูงขึ้นเกิดจากการลงทุนขนาดใหญ่ของบริษัทสิงคโปร์ที่มีบริษัทแม่เป็นสัญชาติจีนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
ในแง่พื้นที่ เงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก 211,569 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง 179,332 ล้านบาท ภาคเหนือ 32,972 ล้านบาท ภาคใต้ 15,694 ล้านบาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 14,087 ล้านบาท และภาคตะวันตก 4,705 ล้านบาท ตามลำดับ
ส่วนการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวน 1,451 โครงการ เพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินลงทุนรวม 476,276 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% ประโยชน์ของโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนเหล่านี้ คาดว่าจะเพิ่มมูลค่าการส่งออกของประเทศอีกกว่า 1.3 ล้านล้านบาท/ปี โดยส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังเพิ่มการใช้วัตถุดิบในประเทศกว่า 4.9 แสนล้านบาท/ปี และเกิดการจ้างงานคนไทยกว่า 1 แสนตำแหน่ง
ขณะที่การออกบัตรส่งเสริม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุด เพิ่มขึ้นมากเช่นเดียวกัน โดยมีจำนวน 1,332 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 56 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินลงทุนรวม 438,733 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87% ซึ่งจะนำไปสู่การลงทุนจริงในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
นายนฤตม์กล่าวต่อไปว่าในช่วงครึ่งปีหลังทิศทางการลงทุนโลกยังคงมีแนวโน้มเคลื่อนย้ายการลงทุนและการปรับซัพพลายเชนทั่วโลกจึงเป็นช่วงเวลาสำคัญของประเทศไทยที่ต้องช่วงชิงการลงทุนมาให้ได้โดยบีโอไอจะให้ความสำคัญกับการบุกเจาะกลุ่มเป้าหมายเชิงรุกและส่งเสริมให้เกิดการลงทุนปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้นโดยจะเน้นดำเนินการใน3ด้านสำคัญคือ
1. การสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทและชิ้นส่วนสำคัญ แบตเตอรี่ระดับเซลล์ เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลก อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ รวมถึงการผลักดันให้ไทยเป็นฐานของสำนักงานภูมิภาค (Regional Headquarters) และศูนย์กลางบุคลากรทักษะสูง (Talent) ของภูมิภาค โดยในช่วง 2 เดือนข้างหน้า บีโอไอมีแผนจัดโรดโชว์ที่เกาหลีใต้ จีน อินเดีย และสิงคโปร์ รวมทั้งกิจกรรมเชิงรุกอื่นๆ เพื่อดึงการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
2. การเชื่อมโยงอุตสาหกรรมระดับโลกกับซัพพลายเชนในประเทศ ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น Subcon Thailand,THECA,Sourcing Day,Business Matching ฯลฯ เพื่อเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ สร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการไทย และสร้างความร่วมมือในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและพัฒนาบุคลากร
3. การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ไทย ผ่านมาตรการยกระดับอุตสาหกรรมไปสู่ Smart and Sustainable Industry โดยส่งเสริมการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรให้ทันสมัย นำระบบอัตโนมัติหรือเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในกิจการ ปรับเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานหรือพลังงานทดแทน หรือยกระดับสู่มาตรฐานสากล ซึ่งเป็นมาตรการที่ผู้ประกอบการตื่นตัวและสนใจมายื่นขอรับการส่งเสริมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 มีคำขอตามมาตรการนี้จำนวน 192 โครงการ เพิ่มขึ้น 35% เงินลงทุนรวม 19,966 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 160%